การดูแล พลอย อย่างถูกวิธีถือเป็นหัวใจสำคัญของการรักษาความสวยงามและมูลค่าในระยะยาว โดยเฉพาะเรื่อง “น้ำร้อน” และ “สารเคมี” ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้พลอยจำนวนมากเสียหายแบบไม่สามารถแก้ไขได้ ผู้ที่คลุกคลีกับวงการอัญมณีไม่ว่าจะเป็นนักสะสม เจ้าของร้าน หรือผู้เพิ่งเริ่มเรียนรู้ ล้วนต้องเข้าใจว่าพลอยแต่ละชนิดมีความทนทานต่างกัน การใช้วิธีดูแลผิดประเภทอาจทำให้สีซีด ร้าว ขุ่นมัว หรือแม้แต่เสียรูปทรง
บทความนี้รวบรวมข้อมูลจากมาตรฐานอัญมณีศาสตร์ (Gemology) และประสบการณ์จริงของช่างอัญมณี เพื่ออธิบายว่า พลอยชนิดใด “ห้าม” เจอทั้งน้ำร้อนและสารเคมี พร้อมเหตุผลอย่างละเอียด
จากมุมมองวิทยาศาสตร์อัญมณี น้ำร้อนและสารเคมีมีผลกระทบต่อโครงสร้างของพลอยหลายชนิด เพราะ:
ความร้อนทำให้พลอยบางชนิด “ขยายตัวไม่เท่ากัน” เกิดแรงดันภายในจนแตก
พลอยที่มีรูพรุนสามารถดูดสารเคมี ทำให้สีเพี้ยนหรือเกิดรอย
พลอยที่ผ่านการปรับปรุงคุณภาพ เช่น อัดน้ำมัน หรือชุบเรซิน อาจเสียสภาพเมื่อโดนความร้อน
สารเคมีในชีวิตประจำวัน เช่น น้ำหอม สบู่ แชมพู แอลกอฮอล์ สามารถทำให้พื้นผิวพลอยด้านลงหรือเกิดการเปลี่ยนสี
ดังนั้น การรู้จักพลอยที่ควรระวังจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับทุกคนที่รักอัญมณี
มรกตเป็นหนึ่งในพลอยที่สวยงามที่สุดในโลก แต่ก็เปราะที่สุดชนิดหนึ่ง เพราะมีรอยแตกธรรมชาติจำนวนมาก จึงมักถูกอัดน้ำมันเพื่อให้ดูใสขึ้น
น้ำร้อนทำให้น้ำมันอัดภายในละลายหรือไหลออก ส่งผลให้พลอยหมองลงทันที
สารเคมีสามารถซึมเข้าไปในรอยแตก ทำให้สีเพี้ยนหรือเป็นคราบถาวร
เช็ดด้วยผ้านุ่มเท่านั้น
ห้ามแช่น้ำ
ห้ามใช้น้ำยาล้างเครื่องประดับทุกชนิด
โอปอลมีน้ำเป็นส่วนประกอบถึง 20% จึงอ่อนไหวอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ
ทำให้น้ำภายในระเหย ส่งผลให้เกิด “รอยแตกเหมือนใยแมงมุม”
สีออร่าที่เป็นเอกลักษณ์อาจหายไปบางส่วน
ผิวโอปอลอ่อนมาก เครื่องสำอางและน้ำหอมสามารถทำให้ผิวด้านหรือลอกได้
เทอร์ควอยซ์มีโครงสร้างรูพรุนสูง ทำให้ไวต่อของเหลวและสารเคมี
ดูดซึมน้ำร้อนหรือสารเคมี ทำให้สีเข้ม–อ่อนผิดปกติ
เครื่องสำอาง น้ำมัน หรือแม้แต่น้ำเหงื่อสามารถทำให้พลอยเปลี่ยนสี
เช็ดด้วยผ้าแห้ง
หลีกเลี่ยงการใส่ออกงานกลางแจ้งหรือวันที่เหงื่อออกมาก
พลอยทั้งสองเป็นเนื้ออ่อนและไวต่อกรด ด่าง และน้ำร้อนมาก
ผิวจะด้านลงอย่างรวดเร็ว
น้ำร้อนทำให้โครงสร้างเนื้อแร่เสียหาย
น้ำยาทำความสะอาดทั่วไปทำให้สีหม่นหรือเป็นคราบ
ไข่มุกประกอบด้วยแคลเซียมคาร์บอเนต ซึ่งไวต่อกรดและด่างมาก
น้ำร้อนทำให้ผิวมุกลอก
แอลกอฮอล์ น้ำหอม สเปรย์ผม ทำให้ไข่มุกด้านและเป็นรอยถาวร
อัมเบอร์เป็นเรซินธรรมชาติที่อ่อนมาก
มีโอกาสละลายหรือบิดงอเมื่อโดนความร้อน
สารเคมีทำให้ผิวด้านลงอย่างถาวร
แม้ไพลินและทับทิมแท้จะทนทานมาก แต่พลอยที่ผ่านการอุดแก้วต้องระวังเป็นพิเศษ
ความร้อนทำให้แก้วอุดละลาย เกิดรอยขาวหรือรอยแตก
สารเคมีบางชนิดทำให้ผิวแก้วเป็นรอย
แม้ไม่ถึงขั้น “ห้ามเด็ดขาด” แต่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อยืดอายุพลอย ได้แก่
โทแพซ
ควอตซ์แบบมีรอยแตก
อาเกตที่ผ่านการย้อมสี
พลอยอัดเรซิน เช่น เจไดท์เกรดต่ำ
ทั้งหมดไวต่อสารเคมีและอาจเกิดการเปลี่ยนสีได้
ถอดพลอยทุกครั้งก่อนล้างมือ อาบน้ำ ล้างจาน
หลีกเลี่ยงสปา ซาวน่า หรืออาบน้ำอุ่น
อย่าสวมพลอยขณะใช้สเปรย์ผม น้ำหอม ครีมกันแดด หรือโลชั่น
เก็บพลอยในที่แห้ง อุณหภูมิคงที่
ทำความสะอาดด้วยผ้านุ่มเป็นหลัก
ตรวจเช็กตัวเรือนทุก 6–12 เดือน
การรู้ธรรมชาติของพลอยแต่ละชนิดคือวิธีป้องกันความเสียหายที่ดีที่สุด
ไม่ใช่พลอยทุกชนิดจะทนทานต่อความร้อนและสารเคมี บางชนิดสวยงามมากแต่เปราะบางอย่างยิ่ง เช่น มรกตและโอปอล ความรู้ที่ถูกต้องตามหลักอัญมณีศาสตร์ช่วยให้เรารักษาพลอยให้คงคุณค่า ความใส และความงดงามได้หลายสิบปี
พลอย แท้