มงกุฎแห่งราชวงศ์อังกฤษไม่ได้เป็นเพียงเครื่องประดับ แต่เป็นสัญลักษณ์ที่ทรงพลังที่สุดของอำนาจทางการเมือง, ความต่อเนื่องทางประวัติศาสตร์, และความมั่งคั่งของจักรวรรดิอังกฤษ มงกุฎแต่ละองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มงกุฎเซนต์เอ็ดเวิร์ด (St Edward's Crown) และ มงกุฎจักรวรรดิบริติช (Imperial State Crown) ถูกประดับด้วยพลอยมีค่าและอัญมณีหายากนับพันชิ้น ซึ่งแต่ละเม็ดมีเรื่องราวและตำนานที่เชื่อมโยงกับชัยชนะ, การทูต, และการสืบทอดบัลลังก์ บทความนี้จะเจาะลึกถึงพลอยที่โดดเด่นที่สุดบนมงกุฎเหล่านี้ พร้อมวิเคราะห์ความหมายที่ซ่อนอยู่และการสร้าง "แหล่งอำนาจ" ของราชวงศ์ผ่านอัญมณีเหล่านี้
มงกุฎจักรวรรดิบริติชเป็นมงกุฎที่กษัตริย์ทรงสวมใส่ในการออกจากมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์หลังพิธีบรมราชาภิเษก และใช้ในการเปิดประชุมรัฐสภาประจำปี เป็นมงกุฎที่รวมพลอยสำคัญทางประวัติศาสตร์ไว้มากที่สุด
พลอยเม็ดนี้เคยเป็นเพชรที่โด่งดังที่สุดบนมงกุฎ แม้ว่าปัจจุบันจะถูกย้ายไปประดับบนมงกุฎพระราชินี (Queen Consort's Crown) แต่เรื่องราวของพลอยโคฮินัวร์ก็เป็นตัวอย่างที่ทรงพลังของประวัติศาสตร์การได้มาซึ่งพลอยของจักรวรรดิอังกฤษ:
แหล่งกำเนิดและอำนาจ: พลอยโคฮินัวร์ ซึ่งแปลว่า "ภูเขาแห่งแสง" มีต้นกำเนิดจากอินเดีย ถูกยึดมาเป็นสมบัติของอังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 19 พลอยเม็ดนี้เป็นสัญลักษณ์ที่สร้าง "แหล่งอำนาจ" ของจักรวรรดิที่กว้างใหญ่ไพศาล แต่ขณะเดียวกันก็เป็นสัญลักษณ์ของความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศมาจนถึงปัจจุบัน
พลอยคาลินันที่ 2 หรือ "ดาวแห่งแอฟริกาที่สอง" เป็นเพชรเจียระไนรูปทรงคุชชั่น (Cushion-cut) ขนาด 317.4 กะรัต เป็นเพชรที่ใหญ่เป็นอันดับสองที่ตัดจากพลอยคาลินัน (พลอยเพชรดิบที่ใหญ่ที่สุดในโลก) เพชรเม็ดนี้ประดับอยู่ด้านหน้าของมงกุฎอย่างเด่นชัด
ความเชี่ยวชาญในการเจียระไน: พลอยคาลินันและเพชรบริวารแสดงถึง "ความเชี่ยวชาญ" ทางเทคนิคในการเจียระไนเพชรของช่างฝีมือในยุคนั้น และเป็นเครื่องยืนยันความมั่งคั่งของราชวงศ์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้
พลอยไพลินเม็ดนี้เชื่อกันว่าเป็นพลอยที่ประดับอยู่บนแหวนของกษัตริย์เอ็ดเวิร์ดผู้สารภาพ (Edward the Confessor) ในศตวรรษที่ 11 ซึ่งถูกค้นพบอีกครั้งเมื่อพระศพถูกเปิดออกในปี 1163
การสืบทอดทางประวัติศาสตร์: การประดับพลอยเม็ดนี้ไว้บนมงกุฎเป็นการยืนยันความชอบธรรมในการปกครองและ "ความน่าเชื่อถือ" ของราชวงศ์อังกฤษว่ามีการสืบทอดอำนาจมาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่าพันปี
หนึ่งในพลอยที่น่าสนใจที่สุดบนมงกุฎจักรวรรดิบริติชคือ พลอยทับทิมเจ้าชายดำ (Black Prince's Ruby) ซึ่งประดับอยู่เหนือพลอยคาลินันที่ 2
แม้จะมีชื่อว่า "ทับทิม" แต่จากการตรวจสอบทาง "ความเชี่ยวชาญ" ของนักอัญมณีวิทยาพบว่าพลอยขนาดใหญ่ 170 กะรัตเม็ดนี้ แท้จริงแล้วคือ สปิเนล (Spinel) ซึ่งเป็นอัญมณีมีค่าที่มีโครงสร้างและองค์ประกอบทางเคมีที่แตกต่างจากพลอยทับทิม
ความแตกต่าง: พลอยสปิเนลมีความแข็ง (8 บนมาตราโมส) น้อยกว่าพลอยทับทิม (9 บนมาตราโมส) และแตกต่างกันในโครงสร้างผลึก แต่ทั้งสองพลอยมีความสวยงามของสีแดงที่คล้ายกันมาก และในยุคกลางยังไม่มีการแยกประเภทอย่างชัดเจน
พลอยสปิเนลเม็ดนี้มี "ประสบการณ์" การเดินทางที่เปี่ยมด้วยตำนาน:
พลอยแห่งการต่อสู้: พลอยเม็ดนี้ถูกมอบให้กับเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด หรือเจ้าชายดำ (The Black Prince) ในปี 1367 หลังจากการรบที่สเปน ต่อมาพลอยเม็ดนี้เคยถูกใส่ไว้บนหมวกของกษัตริย์เฮนรี่ที่ 5 (Henry V) ในยุทธการอแฌงกูร์ (Battle of Agincourt) ในปี 1415 พลอยนี้จึงเป็นสัญลักษณ์ของการรบ, ความกล้าหาญ, และอำนาจทางทหารของราชวงศ์อังกฤษ
พลอยไพลินเม็ดรูปทรงวงรีขนาด 104 กะรัต ประดับอยู่ด้านหลังของมงกุฎ มีความสำคัญในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองของการสืบทอดอำนาจ
การได้มา: พลอยไพลินเม็ดนี้เป็นของราชวงศ์สจวร์ต (Stuart Dynasty) และต้องระหกระเหินไปกับราชวงศ์เมื่อมีการขับไล่กษัตริย์เจมส์ที่ 2 ออกจากบัลลังก์ในศตวรรษที่ 17 การที่พลอยเม็ดนี้ถูกนำกลับมาประดับบนมงกุฎจึงเป็นสัญลักษณ์ของการรวมอำนาจและ "ความต่อเนื่อง" ของราชบัลลังก์อังกฤษ
มงกุฎเซนต์เอ็ดเวิร์ดเป็นมงกุฎทองคำหนัก 2.23 กิโลกรัม ที่ใช้สวมใส่ในช่วงเวลาสำคัญที่สุดของพิธีบรมราชาภิเษกเท่านั้น มงกุฎนี้ถูกประดับด้วยพลอยมีค่ากว่า 444 ชิ้น ซึ่งเป็นการสร้าง "ความน่าเชื่อถือ" ให้กับความศักดิ์สิทธิ์ของพิธี
พลอยทับทิม, พลอยไพลิน, พลอยมรกต, และพลอยอัญมณีอื่น ๆ: แม้ว่าพลอยที่ใช้ในมงกุฎเซนต์เอ็ดเวิร์ดจะไม่ได้มีเรื่องราวเฉพาะเจาะจงเหมือนพลอยในมงกุฎจักรวรรดิบริติช แต่การใช้พลอยจำนวนมหาศาลนี้เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความมั่งคั่งที่หาที่เปรียบไม่ได้ของราชวงศ์ โดยเฉพาะการใช้พลอยสีหลักทั้งสาม (แดง, น้ำเงิน, เขียว) ที่แสดงถึงความครอบคลุมของอำนาจและโชคลาภทั้งหมด
พลอยที่ประดับบนมงกุฎกษัตริย์อังกฤษเป็นมากกว่าความหรูหราอลังการ แต่เป็นวัตถุที่มีชีวิตที่บอกเล่าประวัติศาสตร์, อำนาจ, และการสืบทอดบัลลังก์ พลอยแต่ละเม็ดเป็นหลักฐานที่ทรงพลังของ:
แหล่งอำนาจ: เพชรคาลินันและพลอยโคฮินัวร์แสดงถึงอำนาจของจักรวรรดิ
ความน่าเชื่อถือ: พลอยไพลินเซนต์เอ็ดเวิร์ดและไพลินสจวร์ตแสดงถึงความต่อเนื่องของราชวงศ์
ความเชี่ยวชาญ: การเจียระไนเพชรขนาดใหญ่แสดงถึงความเชี่ยวชาญทางเทคนิค
ประสบการณ์: พลอยทับทิมเจ้าชายดำ (สปิเนล) เป็นพยานแห่งประสบการณ์การรบและการต่อสู้เพื่อบัลลังก์
พลอย จึงทำหน้าที่เป็นสมบัติของรัฐที่สามารถมองเห็นและสัมผัสได้ ซึ่งตอกย้ำความยิ่งใหญ่และความชอบธรรมในการปกครองของราชวงศ์อังกฤษในสายตาของคนทั้งโลก
พลอย แท้